ทั้งนี้ยังตั้งเป้าหมายและสัดส่วนการจำหน่ายรถยนต์ EV ไว้ที่ 3.5 ล้านคันต่อปีหรือประมาน 35% ขอยอดขายต่อปีของโตโยต้าซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ล้านคันต่อปี
โดยในอนาคตมีความตั้งใจให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของรถยต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้นรวมถึงกำลังพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ในรูปแบบโซลิดสเตทด้วยซึ่งสอดคล้องกับแผนการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Carbon neutrality) ของ Toyota
มาดูกันดีกว่าว่า Toyota เค้าออกโมเดลรถ EV ในอนาคตแบบไหนมาให้เราดูบ้าง
สวัสดีเจ้า~ เพื่อนๆเคยสงสัยกันไหมว่ารถตลาดในเมืองไทยที่เป็นรถญี่ปุ่นมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกสรรตามความชอบและความเหมาะสมแต่สำหรับ Toyota นั้นเป็นแบรนด์ชั้นนำที่อยู่คู่กับคนไทยมามากกว่า 60 ปีเราลองมาดูกันเลยว่าทำไมรถ Toyota ถึงทนกว่าแบรนด์อื่นๆและทำไมคนไทยยังไว้ใจโตโยต้า
ทำไมรถ Toyota ถึงได้ขึ้นชื่อว่าทนกว่าแบรนด์อื่น? และมีความคุ้มค่ามากขนาดไหน
Toyota นั้นจะมีระบบการผลิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองเรียกว่าToyota Production System : TPS และหนึ่งในหลักการหัวข้อใหญ่ๆใน TPS นั้นจะมีหลักการที่พูดถึงการจัดการเวลาที่ทำให้รถถูกผลิตได้เร็วขึ้นและอีกหลังคือ Jidoka ที่ส่งผลให้รถของ Toyota มีความทนทาน
Jidoka แปลจากภาษาญี่ปุ่นได้ว่า“ระบบอัตโนมัติที่มนุษย์เป็นผู้สัมผัส” หลักการนี้คือการที่เหล่าวิศวกรของ Toyota ต้องเริ่ม“ทำด้วยมือ”ก่อนทั้งการออกแบบชิ้นส่วนในรถที่ต้องออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะต้องผ่านมาตรฐานที่วางเอาไว้
นั่นทำให้เราเห็นได้ว่ารถของ Toyota มักจะใช้อะไหล่ร่วมกันได้หลายรุ่นรวมถึงมีรถหลายรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันเพราะพวกเขามั่นใจแล้วว่าเชื่อใจได้ (และส่งผลทำให้รถ Toyota อะไหล่หาได้ง่ายและในบางรุ่นรถจะมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถรุ่นอื่น)
นี่เป็นจุดที่ทำให้ Toyota ต่างจากค่ายรถอื่นๆที่บางครั้งต้องรีบทำยอดผลิตรถให้ตรงตามเส้นตายที่กำหนดเอาไว้ส่งผลทำให้จำนวนของรถที่เกิดข้อบกพร่องหลุดออกไปในจำนวนมากกว่าและเมื่อแก้ปัญหาได้แล้วก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตเพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมา
การปรับปรุงเล็กๆน้อยๆของรถ Toyota จึงเกิดขึ้นอยู่เสมอโดยให้พนักงานนำเสนอความคิดใหม่ๆเข้ามาและเอามาประชุมกันถ้าเห็นว่าได้ผลก็จะนำมาใช้เป็นมาตรฐานเลยนี่จึงทำให้การผลิตพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
แม้แต่ Toyota Supra เจน 4 ที่มีภาพลักษณ์เร็วแรงที่สุดของ Toyota เองตอนออกมาจากโรงงานก็ไม่ใช่รถที่ทำประสิทธิภาพได้ดีนักตอนที่ออกมาจากโรงงานโดยยังไม่ผ่านการปรับแต่ง
เพราะพวกเขารู้ว่าลูกค้าส่วนมากที่ซื้อรถต้องการสิ่งที่ Toyota มอบให้นั่นคือความทนทานไม่จุกจิกไม่กวนใจและมีค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆในระยะยาวนั่นเอง