• โตโยต้า นครพิงค์ เชียงใหม่ | Toyota Nakornping Chiangmai
Read More
Print

อะไรคือ TOYOTA SAFETY SENSE ตอบโจทย์การขับขี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร

สวัสดีเจ้า~ วันนี้กลับมาพบกับ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ กันอีกแล้ว วันนี้เราไม่ได้มามือเปล่าอีกเช่นเคยเพราะเราเอา สุดยอดเทคโนโลยีจากโตโยต้าที่เรียกกันว่า TOYOTA SAFETY SENSE  มาฝากเพื่อนๆ ทุกคนให้ได้รู้จักกัน บอกเลยว่า โตโยต้ายังเน้นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์มาเพื่อให้ทุกคนขับขี่อย่างปลอดภัยมาขึ้น ลองตามมาดูกันเลยว่าจะมีอะไรบ้าง

อะไรคือ TOYOTA SAFETY SENSE ตอบโจทย์การขับขี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร

อะไรคือ TOYOTA SAFETY SENSE ?

TOYOTA SAFETY SENSE คือเทคโนโลยีความปลอดภัยเจเนอร์เรชั่นที่ 2 แล้ว เปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 โดยได้พัฒนาการตรวจจับและการทำงานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอุบัติเหตุจากการจราจรที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ตอบโจทย์การขับขี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไรอะไรคือ TOYOTA SAFETY SENSE

เทคโนโลยี TOYOTA SAFETY SENSE ประกอบไปด้วย

  • LANE DEPARTURE ALERT ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ อีกขั้นของความล้ำหน้า เมื่อคุณขับรถออกนอกช่องทางโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวหรือเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอ MID และพวงมาลัยจะทำการหน่วงกลับอัตโนมัติ
  • PRE – COLLISION SYSTEM ระบบความปลอดภัยก่อนการชน เรดาร์จะตรวจจับรถที่อยู่ด้านหน้า พร้อมทำการส่งสัญญาณเตือนและช่วยเบรกเพื่อลดโอกาสและความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
  • DYNAMIC RADAR CRUISE CONTROL ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ควบคุมความเร็วรถให้คงที่ พร้อมตรวจจับรถที่อยู่ด้านหน้าด้วยเรดาร์และลดความเร็วอัตโนมัติ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยและเร่งความเร็วกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้อัตโนมัติ เมื่อไม่มีรถขวางข้างหน้า เพิ่มความสบายยิ่งขึ้น เมื่อขับรถทางไกล
  • AUTOMATIC HIGH BEAMS ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัต ระบบจะปรับลดไฟสูงให้เป็นต่ำอัตโนมัติ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือมีรถด้านหน้า เพื่อไม่ให้แสงไฟแยงตารถร่วมทางและปรับเป็นไฟสูงอัตโนมัติเมื่อขับขี่ในที่มืด

TOYOTA SAFETY SENSE มีในรถรุ่นใดบ้าง

  1. Camry 
  2. All New Corolla ALTIS
  3. All New Corolla Cross
  4. C-HR

Read More
Print

โครงสร้าง TNGA ในรถโตโยต้า คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไรต่อผู้ขับขี่

โตโยต้า ผู้นำแห่งยนตรกรรมระดับโลก ได้มีการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ TNGA หรือ Toyata New Global Architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมยานยนต์แห่งโลกอนาคต ที่จะเข้ามาเปลี่ยนความรู้สึกของการขับขี่อย่างแท้จริง

โครงสร้าง TNGA ในรถโตโยต้า คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไรต่อผู้ขับขี่

TNGA หรือ Toyota New Global Architecture คืออะไร?

TNGA คือ สถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ ที่เป็นโครงสร้างสำเร็จรูปที่ประกอบไปด้วย พื้นตัวถังส่วนห้องเครื่องยนต์ พื้นตัวถังห้องโดยสาร พื้นตัวถังห้องสัมภาระ ชุดระบบส่งกำลัง และระบบไฟฟ้าที่สามารถใช้งานร่วมกันได้

TNGA

สิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับจากโครงสร้าง TNGA คือ

  • เราจะได้ใช้รถยนต์ที่มีโครงสร้างแพลตฟอร์มที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรง มีความปลอดภัยสูง และใช้เป็นโครงสร้างมาตรฐานสากลที่เหมือนกันทั่วทั้งโลก เท่ากับว่า TNGA จะทำให้เราได้ใช้รถยนต์โตโยต้าสเปคเดียวกันเหมือนกับที่อเมริกาและในยุโรป
  • การออกแบบภายนอก TNGA ได้พัฒนาประสิทธิภาพให้ง่ายต่อการออกแบบมากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือแพลตฟอร์ม TNGA สามารถออกแบบรถได้อย่างอิสระ แบบไม่มีข้อจำกัด ส่งผลให้รถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่ TNGA มีเทคโนโลยีการออกแบบที่ล้ำสมัย โฉบเฉี่ยว สวยงาม อย่างสมบูรณ์แบบ
  • ประสิทธิภาพภายในของ TNGA เน้นการออกแบบให้ผู้ขับขี่มีความปลอดภัย คล่องตัว โดยพื้นตัวถัง TNGA ทนต่อการบิดตัวสูงกว่า C-Platform แบบดั้งเดิมถึง 65%
  • TNGA ออกแบบให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ดังนั้นรถรุ่นใหม่ที่สร้างจาก TNGA จะมีสัดส่วนที่ดูโหลดลง ช่วยลดอาการโคลงของตัวรถ เพิ่มความมั่นคงของรถจากโครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง พร้อมเพิ่มจำนวนจุดเชื่อมตัวรถ (Spot Welding) ช่วยรองรับแรงบิดที่มีต่อตัวถัง
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและเกาะถนนได้ดีขึ้นอย่างสัมผัสได้ โดยเฉพาะเมื่อขับขี่เร็ว และช่วงทางโค้ง จะช่วยลดการโยนตัว ทำให้มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้ขับขี่

 จุดเด่นของโครงสร้าง TNGA

TNGA ออกแบบตัวถังห้องโดยสารให้เหมาะกับสรีระของผู้ขับขี่ กระจกหน้ารถต่ำที่ต่ำยิ่งขึ้น และเสา A ที่บางลง ช่วยให้วิสัยทัศน์แห่งการขับขี่ที่กว้างขึ้น ด้วยมุมมองที่โล่ง โปร่ง ลดจุดอับสายตา ไม่มีอะไรมาบดบังสายตาของผู้ขับขี่ ทำให้รู้สึกมั่นใจในขณะที่ขับขี่

TNGA มาพร้อมกับการออกแบบช่วงล่างแบบใหม่ จึงช่วยในเรื่องของความนุ่มนวลในการขับขี่ และการนั่งโดยสาร ช่วยลดทอนแรงกระแทกด้วยระบบกันสะเทือนอิสระแบบปีกนกคู่ ซึ่งมีหลักการทำงานอย่างอิสระของล้อทางด้านซ้ายและขวา

ปัจจุบันมีโครงสร้าง  TNGA ในรถโตโยต้ารุ่นไหนบ้าง?

  1. Camry 
  2. All New Corolla ALTIS
  3. All New Corolla Cross
  4. C-HR
btn_line
btn_facebook

Read More
Print

วิธีไหว้แม่ย่านางรถ ไหว้อย่างไรให้ชีวิตปังตลอดทั้งปี

หลายๆ คนที่ใช้รถคงมีความเชื่อเรื่องการไหว้แม่ย่านางรถที่ปกปักรักษารถคันโปรดและชีวิตของเราให้แคล้วคลาด วันนี้โตโยต้านครพิงค์เลยเอาเคล็ดลับดีๆ ในการไหว้แม่ย่านางรถรับรองเลยว่าไหว้แล้วชีวิตจะได้ปังตลอดทั้งปี แถมยังเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยอีกด้วย 

วิธีไหว้แม่ย่านางรถ ไหว้อย่างไรให้ชีวิตปังตลอดทั้งปี

ประวัติการไหว้แม่ย่านาง

แม่ย่านาง เป็นตำนานที่พูดถึงกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ โดยในอดีตนั้นก่อนออกเรือจะมีการกราบไหว้แม่ย่านางก่อน โดยมีตำนานเล่าว่า พระอิศวรและพระแม่อุมา ได้รับคำร้องเรียนจากพวกกุ้งในลุ่มน้ำ ว่าตนนั้นเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กๆ สู้สัตว์อื่นไม่ได้

พระแม่อุมาจึงบรรดาลให้เจ้ากุ้งทั้งหลายมีทั้งอาวุธเป็นหอกแหลมคมอยู่บนหัว และมีปลายแหลมที่แหลมคมอยู่ที่หาง เพื่อระวังทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กลายเป็นว่าพวกมันกลับวางแผนที่จะทำร้ายบรรดาเรือต่างๆ ที่ขับผ่านลุ่มแม่น้ำโดยพวกกุ้งเอาหัวแหลมๆ เจาะเรือให้เรือประมงล่ม จนความเดือดร้อนนี้ไปถึงหู พระแม่อุมาเทวี จนท่านมอบคำสั่ง

ให้แม่น่านางนำความสุขคืนสู่ลุ่มน้ำ

จากตำนานดังกล่าวทำให้มีการกราบไหว้แม่นย่านางที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเทพผู้ปกปักษ์รักษาให้แคล้วคลาดปลอดภัย 

การเตรียมของไหว้แม่ย่านางรถ (ของไหว้แม่ย่านางขึ้นอยู่กับประเพณีในแต่ละภูมิภาค)

วิธีไหว้แม่ย่านางรถ

  1. ผลไม้ 5 อย่าง ได้แก่ กล้วยน้ำว้าสุก 2 หวี และอื่นๆ อีก 4 อย่าง
  2. ข้าวสาร 1 ถ้วย
  3. น้ำ 1 แก้ว
  4. หมาก,พูล,ยาเส้นสีฟัน 3 คำ
  5. ขนมมงคล เช่น ขนมถ้วยฟู สาลี่ ขนมเทียน
  6. ยาสูบ 3 มวน
  7. ธูป 9 ดอก

ขั้นตอนการไหว้แม่ย่านาง

  1. เตรียมของสำหรับการไหว้แม่ย่านาง
  2. จุดธูป 9 ดอก
  3. สวดบทสวดเริ่มต้น
  4. อธิฐานขอพรให้แม่ย่าปกปักรักษา
  5. ท่องคาถาถวายของให้แม่ย่านาง
  6. รอจนธูปหมดและกล่าวคำลำแม่ย่านางเป็นอันเสร็จพิธี
  • คำถวายของไหว้แม่ย่านาง
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3 จบ)
    สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ
    ทุติยัมปิ สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ
    ตะติยัม สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ
    เมื่อกล่าวจบกล่าวต่อว่า “ลูกขอถวายสิ่งของเหล่านี้แก่แม่ย่านางรถ ขอท่านจงรับซึ่งสิ่งของเหล่านี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ลูกทั้งหลายเทอญ สาธุ” จากนั้นให้กล่าวอธิษฐานที่ตนอยากได้รับ แล้วรออีก 20 นาทีหรือจนว่าธูปจะหมด แล้วกล่าวคำลาไหว้แม่ย่านางรถอีกครั้ง
  • คำลาของไหว้แม่ย่านาง
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3 จบ)
    พุทธังลา ธัมมังลา สังฆังลา
    ข้าพเจ้าขอลาสิ่งของเหล่านี้เพื่อให้เป็นทานต่อไป เป็นยารักษาโรค อย่าให้เกิดโทษเลย
    นะ เสสัง มังคะลา ยาจามะ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีการไหว้แม่ย่านางเพื่อเสริมความสิริมงคลให้รถและตัวของท่านเอง แต่ความเชื่อเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ทุกคนสบายใจ ถึงแม้จะไหว้แม่ย่านางแล้วก็ต้องขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท และปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด

btn_line
btn_facebook

Read More
Hand of woman holding or using smartphone on green blur and sunl

เคลมประกันแบบไม่มีคู่กรณี มีวิธีไหน เราจะต้องทำยังไงบ้าง? วันนี้เรามีคำตอบมาให้

สวัสดีเจ้า~ วันนี้กลับมาพบกับน้องพิงค์อีกแล้ววันนี้น้องพิงค์เอาคำข้อสงสัยที่หลายๆ คงกำลังหาคำตอบกันอยู่แน่ๆ เกี่ยวกับการเคลมประกันรถยนต์ หลายๆ คนคงกำลังสงสัยกันอยู่ใช่ไหมค่ะ ว่าวิธีการเคลมประกันแบบไม่มีคู่กรณีต้องทำอย่างไรบ้าง วันน้ีเราเอาคำตอบมาให้ทุกคนแล้วค่ะ

เคลมประกันแบบไม่มีคู่กรณี มีวิธีไหน เราจะต้องทำยังไงบ้าง? วันนี้เรามีคำตอบมาให้

เคลมประกันแบบไม่มีคู่กรณี

  • แจ้งนำรถเข้าซ่อม

    โดยแจ้งศูนย์บริการที่จะนำรถเข้าซ่อม  แจ้งรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น และเราต้องการนำรถเข้าซ่อม ทางศูนย์บริการจะให้เราแจ้งบริษัทประกันภัยเพื่อแจ้งเคลม และขอเลขเคลมมา
  • ติดต่อบริษัทประกันภัยรถยนต์

    แจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เราทำประกันรถยนต์เอาไว้ แจ้งว่าเราต้องการขอเลขเคลมเพื่อนำรถยนต์เข้าซ่อม บริษัทประกันภัยจะรับแจ้ง ขอรายละเอียดของอุบัติเหตุเพื่อทำเรื่องต่อ การแจ้งเหตุแบบไม่มีคู่กรณี
  • แจ้งวัน เวลาเกิดเหตุ

    แจ้งวัน และเวลาเกิดเหตุโดยแจ้งให้ใกล้เคียงวันที่เราแจ้งเคลมมากที่สุด เช่น หากเราแจ้งเคลมวันที่ 24 สิงหาคม ก็ให้แจ้งว่าเกิดเหตุวันที่ 23 สิงหาคม เป็นต้น หากเราแจ้งเหตุวัน-เวลาจริงทางบริษัทประกันภัยอาจจะอ้างว่าเหตุเกิดนานแล้ว และไม่รับแจ้งได้
  • แจ้งว่าชน หรือเฉี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต

    คือแจ้งว่าชน เฉี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น กระถางต้นไม้ รั้ว กำแพง เสา เป็นต้น แต่ต้องดูให้สมจริงที่สุดด้วย เช่น แผลอยู่กันชนด้านหลัง บอกว่าชนกระถางก็ยังน่าเชื่อถือ ถ้าไฟหน้าแตก จะบอกว่าชนกระถางก็กระไรอยู่ จริงไหมครับ แต่ทางบริษัทประกันภัยก็อาจจะเล่นแง่อีก ดังนั้นอย่าบอกว่าโดนชนแล้วหนีนะครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนทางบริษัทประกันขอให้ตามหาคู่กรณี แล้วเรื่องก็จะยืดเยื้อไปเรื่อย ไม่ได้เคลมสักทีนั่นเอง
  • ขอเลขเคลมได้ทั้งคั้น

    การขอเลขเคลมนี้ เราสามารถขอเลขเคลมได้ทั้งคันนะครับ ไม่ว่าเราจะชนมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่ว่าอย่าลืมทำตามข้อ 1 นะครับ คือแจ้งวันเกิดเหตุให้ใกล้กับวันแจ้งเหตุที่สุดจะเป็นการดี หากมีหลายแผล หลายระดับความเก่า อันนั้นคงต้องคิดแผนกันอีกทีครับ
  • เมื่อได้เลขเคลมแล้ว

    เมื่อได้เลขเคลมแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วครับว่าเราจะนำรถเข้าซ่อมเมื่อไหร่ ไม่ได้จะต้องนำรถเข้าซ่อมทันทีหลังได้เลขเคลมนะครับ ใบเคลมจะมีอายุประมาณ 1 ปี เอาเป็นว่านำรถเข้าซ่อมก่อนใบเคลมหมดอายุก็พอครับ
  • นำรถเข้าซ่อม

    เมื่อได้ฤกษ์จะนำรถเข้าซ่อม ก็เพียงแค่นำรถไปที่ศูนย์บริการ พร้อมใบเคลมครับ ยื่นใบเคลม พร้อมเซ็นเอกสารสั่งซ่อม ทางศูนย์ก็จะทำการประเมินแล้วนัดวันรับรถ หากซ่อมจุกจิก ทางบริษัทประกันอาจจะแนะนำอู่ให้เราถือใบเคลมไปเปลี่ยนเอง แบบนั้นก็สามารถนั่งรอรับรถได้เลยครับ
  • ชื่อคนขับไม่ตรงกับชื่อคนแจ้งเคลม

    ส่วนนี้จริงๆ แล้วไม่น่าจะมีปัญหานะครับ เพราะส่วนใหญ่คนที่มีพลขับรถก็จะให้พลขับเป็นคนจัดการ และเป็นคนเซ็นใบเคลม แต่หากบริษัทประกันจะเล่นแง่ ก็บอกตามจริงไป ว่าเอารถสามี หรือภรรยามาขับ เรื่องมากอีก ขู่ว่าจะถอนประกันไปทำกับบริษัทอื่นเลย
btn_line
btn_facebook

Read More
Print

ห้องเครื่องรถยนต์ ล้างแล้วจะเป็นสนิมไหม ล้างแบบถูกวิธีต้องทำอย่างไร?

สำหรับคำถามที่ผู้คนที่ใช้รถพบเจอบ่อยๆ เวลาทำรถไปล้างหรือเข้าศูนย์บริการคือ ห้องเครื่องสามารถล้างได้ไหม? คำตอบคือ สามารถล้างได้แต่ต้องล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ไม่ใช่ว่าเปิดฝากระโปรงแล้วจะเอาน้ำฉีดเข้าไปได้เลย เพราะมีอุปกรณ์บางชิ้นส่วนในห้องเครื่องยนต์นั้นไม่สามารถที่จะโดนน้ำได้ เช่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถยนต์ ตัวเซนเซอร์ระบบจุดระเบิด ไหนจะสายหัวเทียน ขั้วแบตเตอรี่ กล่องฟิวส์ ที่ต้องระวังไม่ให้โดนน้ำ และหากล้างด้วยตัวเองไม่ควรใช้น้ำแรงดันสูงกับห้องเครื่องยนต์ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดที่คราบสกปรกแทน แต่หากคราบฝั่งแน่นให้ใช้เป็นพวกแชมพูทำความสะอาดและใช้แปรงถูด้วยความระมัดระวัง

ห้องเครื่องรถยนต์ ล้างแล้วจะเป็นสนิมไหม ล้างแบบถูกวิธีต้องทำอย่างไร?

ข้อดีของการล้างห้องเครื่องยนต์

  • ช่วยลดปัญหาการเกิดสนิม
  • ช่วยให้เครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ดี
  • ช่วยทำเห็นคราบรอยรั่วตามชิ้นส่วนต่าง ว่ามีจุดชำรุดตรงไหรบ้าง
  • ช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรก

วิธีล้างห้องเครื่องรถยนต์

วิธีล้างห้องเครื่องรถยนต์ด้วยตัวเอง

  1. ทำการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนเสมอ เพราะอาจจะทำให้เกิดการลัดวงจรต่อระบบไฟทั้งระบบได้
  2. นำพลาสติกมาหุ้มปลั๊กไฟ ปลั๊กเซนเซอร์ หัวฉีดต่างๆ กล่องฟิวส์
  3. ฉีดน้ำลงไปที่ห้องเครื่องเบาๆ ตามส่วนต่างๆ และไม่ควรที่จะฉีดไปที่แผ่นกันความร้อนที่ฝากระโปรงรถ
  4. หากจุดไหนมีคราบน้ำมันเลอะมากๆ ให้ทำการผสมน้ำมันเบนซินกับน้ำยาล้างที่จุดนั้นๆ ใช้ฟองน้ำเช็ดอย่างเบาๆ
  5. ล้างด้วยน้ำเปล่า โดยระวังจุดที่สำคัญๆ เช่น ฝาครอบสายหัวเทียน สายหัวเทียน และเช็คระบบไฟทุกจุด
  6. เป่าลมไล่น้ำออกจากเครื่อง  โดยเป่าตรงจุดที่มีสายไฟ ให้แห้งสนิท แล้วค่อยทำการเป่าไล่น้ำในส่วนอื่นๆ ต่อไปจนน้ำแห้ง
  7. ต่อขั้วแบตแล้วลองสตาร์ทเครื่องเช็คความผิดปกติของเครื่องยนต์
  8. ลงแว็กซ์ท่อยางและชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกหรือจุดที่มีความเสี่ยงสูงที่อาจจะเกิดสนิม

เป็นอย่างไรกันบ้างกับสาระน่ารู้เรื่องการล้างห้องเครื่อง หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะรู้วิธีการดูแลรักษาเครื่องยนต์รถคันโปรดของคุณให้อยู่กับคุณไปนานๆ และถ้าหากต้องการล้างห้องเครื่อง หรือตรวจเช็คสภาพรถสามารถเข้ามาใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ ทั้ง 3 สาขา

btn_line
btn_facebook

Read More
Print

ไขข้อข้องใจ? ผู้กู้ร่วม และ ผู้ค้ำประกัน ต่างกันอย่างไร จะออกรถใหม่ต้องรู้ไว้

หลายคนคงเคยสงสัยเวลาที่จะสินเชื่อจจากธนาคาร จะต้องได้ยินคำว่า ผู้กู้ร่วม และ ผู้ค้ำประกัน ซึ่งหลักฐานบางประเภทจะต้องมีหลักทรัพย์เพื่อให้ธนาคารมีความมั่นใจมากขึ้นว่าสินเชื่อที่ทางธนาคารอนุมัติให้นั้นจะได้เงินคืน ดังนั้นไม่ว่าจะซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นของที่มีมูลค่าของเงินกู้มากจึงต้องมีการขอผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกันนั้นเอง เรามาดูความแตกต่างของทั้งสองอย่างดีกันกว่า

ไขข้อข้องใจ? ผู้กู้ร่วม VS ผู้ค้ำประกัน ต่างกันอย่างไร จะออกรถใหม่ต้องรู้ไว้

คนกู้ร่วม

ก็คือ บุคคลที่มากู้ร่วมกับลูกหนี้มีสถานะเป็นเหมือนลูกหนี้คนหนึ่ง ในขั้นตอนที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติสินเชื่อนั้น จะนำข้อมูลของผู้กู้ร่วมมาร่วมพิจารณาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ต่อเดือน ภาระหนี้สินที่มีอยู่ความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงประวัติในการชำระหนี้ด้วย เมื่อสินเชื่อได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมก็จะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน

คนค้ำประกัน 

คือ บุคคลที่มาค้ำประกันสินเชื่อให้กับลูกหนี้ โดยสถานะไม่ได้เป็นลูกหนี้ร่วมเหมือนกับคนกู้ร่วม สถานะจะเป็นเพียงแค่คนค้ำประกันที่เมื่อเกิดกรณีที่ลูกหนี้เบี้ยวไม่จ่ายหนี้ ธนาคารหรือสถาบันการเงินก็จะไปไล่เบี้ยเอาคืนกับคนค้ำประกัน เพราะการค้ำประกันถือว่าเป็นการสัญญาว่าจะชำระหนี้คืนแทน หากลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้คืนตามกำหนด

ผู้กู้ร่วม และ ผู้ค้ำประกัน

ความแตกต่างระหว่าง คนกู้ร่วมกับคนค้ำประกัน

  • คนค้ำประกันจะเป็นใครก็ได้จะเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือไม่ก็ได้ แต่คนกู้ร่วมจะต้องมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติเท่านั้น เช่น บิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา พี่น้องพ่อแม่เดียวกันหรือญาติที่มีนามสกุลเดียวกัน
  • ธนาคารจะนำรายได้ ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของผู้กู้ร่วมมาร่วมพิจารณาเพื่ออนุมัติสินเชื่อรวมถึงเรื่องของวงเงินด้วย ในขณะที่คนค้ำประกันธนาคารจะไม่นำรายได้ของคนค้ำประกันมารวมคิดเพื่อพิจารณาอนุมัติจะยังคงพิจารณาเฉพาะรายได้ของผู้กู้เท่านั้น
  • คนค้ำประกันจะไม่มีโอกาสมีกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถยนต์ของลูกหนี้หลังจากผ่อนชำระคืนเรียบร้อย ในขณะที่คนกู้ร่วมมีโอกาสที่จะมีกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์สินทั้งบ้านและรถยนต์ที่ผู้กู้ร่วมมีชื่อเป็นผู้กู้อยู่ด้วยหากร่วมผ่อนกับเขาด้วย
  • คนค้ำประกันจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการชำระหนี้คืนปกติตามสัญญากู้ยืม ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของลูกหนี้ในขณะที่ผู้กู้ร่วมหากมีชื่อเป็นผู้กู้ร่วมและจะมีกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์สินหากผ่อนชำระเรียบร้อย ก็มักจะต้องมีส่วนในการจ่ายชำระหนี้คืนด้วย แต่กรณีของผู้กู้ร่วมนี้ก็แล้วแต่ตกลงกันด้วย เพราะมีบางกรณีที่แม้มีชื่อเป็นผู้กู้ร่วม แต่ก็ไม่ได้มีส่วนในการจ่ายชำระเงินผู้กู้หลักเป็นผู้จ่ายเพียงผู้เดียว ก็มีเช่นกัน
  • ผู้กู้ร่วมที่ร่วมผ่อนชำระสินเชื่อบ้านด้วย สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ในขณะที่คนค้ำประกันไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีส่วนในการร่วมผ่อนชำระหนี้ในกรณีปกตินี้ด้วย
btn_line
btn_facebook

Read More
Print

5 วิธีแก้กลิ่นกวนใจช่วงหน้าฝน ภายในรถยนต์คันโปรดให้หมดไป

สวัสดีค่ะ วันนี้กลับมาเจอกันอีกแล้วกับ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ พร้อมสาระน่ารู้เรื่องรถ และสารพัดวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับรถ ที่เราเอามาฝากเพื่อนๆ กัน สำหรับวันนี้เรามีวิธีแก้กลิ่นกวนใจภายในรถของเราให้หมดไป ที่สำคัญเป็นวิธีง่ายๆ ที่เพื่อนๆ สามารถทำตามได้ด้วยค่ะ

5 วิธีแก้กลิ่นกวนใจช่วงหน้าฝน ภายในรถยนต์คันโปรดให้หมดไป

วิธีลดกลิ่นอับภายในรถ

1.ถ่านหุงต้ม

การทำถ่านหุงต้ม หรือถ่านไม้มาวางไว้ภายในรถเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ เพราะถ่านไม้มีกลไกการดูดซับสารไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบอยู่ในสารกลิ่น และที่สำคัญสำหรับถ่านไม้บางชนิดมีส่วนประกอบของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์อยู่ ซึ่งจะช่วยดูดซับกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย 

2.ใบชาแห้ง

ใบชา เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ดับกลิ่นกวนใจภายในรถที่สามารถหาได้ง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อ วิธีการก็แสนง่ายดาย เพียงนำใบชาแห้งมาทิ้งไว้ในรถและทิ้งไว้ข้ามคืน เท่านี้กลิ่นกวนใจก็จะหายไป

3.น้ำส้มสายชู

เคล็ดลับง่ายๆ แถมราคาไม่แพง เพียงเทน้ำส้มสายชู 2-4 ช้อนโต๊ะใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วนำไปตั้งทิ้งไว้ในรถประมาณ 1-2 ชม. ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูจะช่วยดูดกลิ่นอับชื้นในรถให้หายไปได้ แต่วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องกลิ่นอับชื้นเท่านั้น ไม่ใช่การฆ่าเชื้อโรค หรือแบคทีเรียที่สะสมอยู่ภายในรถ

4.จอดรถตากแดด

การจอกดรถตากแดดเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการดับกลิ่นภายในรถ เพียงจอดรถตากแดด 2-3 ชั่วโมง และเปิดหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อให้ระบายอากาศ เท่านี้กลิ่นกวนใจในรถของท่านก็จะหมดไป

5.เมล็ดกาแฟบด

คอกาแฟต้องถูกใจสิ่งนี้ เพราะเมล็ดกาแฟที่เพื่อนๆ ชอบดื่มกันทุกเช้า สามารถนำมาดับกลิ่นภายในรถได้ เพียงน้ำเมล็ดกาแฟบดมาใส่ผ้าแล้วมัดให้แน่น จากนั้นนำมาแขวนไว้ในรถ 2-3 วัน กลิ่นอับและกลิ่นกวนใจก็จะจางหายไป 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีกำจัดกลิ่นภายในรถยนต์คันโปรดของท่าน บอกเลยว่าแต่ละวิธีก็แสนง่ายและทำเองได้ที่บ้าน สำหรับใครที่อยากให้อากาศภายในรถดีขึ้นกว่าเดิม โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ มีบริการพ่นฆ่าเชื้อภายในรถ นอกจากจะลดความเสี่ยงจากโควิดแล้ว ยังทำให้ภายในรถของเพื่อนๆ มีอากาศสดชื่นอีกด้วย

btn_line
btn_facebook

Read More
Print

ไขข้อสงสัย? รถยนต์คู่ใจเติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำได้หรือไม่ 

สวัสดีเจ้า~ โตโยต้านครพิงค์กลับมาอีกแล้ว และวันนี้เรามีสาระดีๆ มาฝากอีกเช่นเคย เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัยอยู่แน่ๆ ว่าเราสามารถใช้น้ำเปล่าเติมลงไปในหม้อน้ำได้หรือไม่ หรือควรน้ำยาหล่อเย็นดี และถ้าใช้น้ำเปล่าเติมจะส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก

ไขข้อสงสัย? รถยนต์คู่ใจเติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำได้หรือไม่

การทำงานของน้ำยาหล่อเย็น 

น้ำยาหล่อเย็น ถือเป็นระบบที่สำคัญของเครื่องยนต์ มีด้วยกันหลากสีสัน ทั้งฟ้า ชมพู เขียว ซึ่งหน้าที่ของน้ำยาหล่อเย็นคือช่วยลดความร้อนของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน ลดการแข็งตัวของน้ำในระบบหล่อเย็น ช่วยหาจุดรั่วไหลของหม้อน้ำได้ง่าย และลดการอุดตันภายในหม้อน้ำ โดยจะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ

  • แบบผสมเสร็จพร้อมใช้งาน 
  • แบบเข้มข้นต้องผสมน้ำก่อนใช้

หม้อน้ำรถยนต์

เติมน้ำเปล่าแทนน้ำยาหล่อเย็นได้หรือไม่? 

สำหรับคำตอบก็คือ ได้ แต่ไม่แนะนำ เนื่องจากน้ำเปล่ามีจุดเดือดเพียง 100 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการระบายอากาศน้อยกว่าน้ำยาหล่อเย็น และที่มากไปกว่านั้น เมื่อน้ำเปล่าไปทำงานร่วมกันโลหะ อาจทำให้เกิดสนิมในหม้อน้ำ เกิดการอุดตัน และหม้อน้ำรั่วซึมได้

 จึงควรใช้น้ำมันหล่อเย็นในการเติมลงในหม้อน้ำมากกว่า ด้วยคุณสมบัติที่มีส่วนผสมของของสารเอธิลีน ไกลคอล จะช่วยชะลอการเดือดของน้ำให้สูงขึ้นเป็น 120-125 องศาเซลเซียส เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน ช่วยให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ดีขึ้น และไม่ทำร้ายเครื่องยนต์ของเราด้วย

แต่หากกรณีฉุกเฉิน เช่น หม้อน้ำรั่วระหว่างทาง แล้วเราหาน้ำยาหล่อเย็นไม่ได้จริงๆ ก็สามารถเติมน้ำเปล่าไปก่อนได้ แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด เช่นน้ำดื่ม น้ำกลั่น และควรเติมเพียงชั่วคราวเท่านั้น

โดยปกติแล้ว น้ำยาหล่อเย็นจะมีอายุการใช้งานเพียง 2 ปีเท่านั้น ถ้าหากปล่อยไว้นาน อาจทำให้เครื่องยนต์รถของคุณเกิดสนิม ตะกอน และที่มากไปกว่านั้นอาจทำให้เครื่องยนต์พังได้อีกด้วย 

btn_line
btn_facebook

Read More
Print

วิธีดูแลรถไฮบริดอย่างไร ให้ใช้งานได้นานที่สุด มาดูกัน!

สวัสดีเจ้า~ วันนี้น้องพิงค์กับมาอีกแล้ว แต่วันนี้ไม่ได้มามือเปล่าเพราะเราเอาสาระเรื่องรถน่ารู้จาก โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ มาฝากเพื่อนๆ ด้วย บอกเลยว่าใครที่ใช้รถเครื่องยนต์ไฟฟ้าหรือไฮบริดต้องรีบเข้ามาอ่านกันด่วนๆ หรือใครที่กำลังมีแพลนซื้อรถเครื่องยนตไฮบริดมาใช้ต้องแชร์เก็บไว้เลยจ้า ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูวิธีดูแลเครื่องยนต์ไฮบริดกับเลยดีกว่า

วิธีดูแลรถไฮบริดอย่างไร ให้ใช้งานได้นานที่สุด มาดูกัน!!

วิธีดูแลรถไฮบริด1.ไม่ดับรถขณะที่กำลังจอดชาร์จ

เราหลายคนคงเคยชินกับการจอดรถแล้วดับเครื่องยนต์เลยทันที แต่รู้หรือมั้ยว่านั่นอาจทำให้เกิดผลเสียต่าเครื่องยนต์ไฮบริด เพราะตอนที่แบตเตอรี่กำลังชาร์จอยู่แล้วเราดับเครื่องยนต์อาจทำให้กระบวนการชาร์จแบตเตอรี่ไฮบริดเกิดผลเสีย หรือที่เรียกกันว่า Memory Effect และทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ ทางที่ดีก็คือก่อนที่จะดับรถเราควรสังเกตก่อนว่าแบตเตอรี่กำลังชาร์จอยู่หรือไม่ หากยังไม่จบกระบวนการชาร์จไฟ และจะสามารถดับเครื่องยนต์ได้ตอนที่หน้าปัดแสดงว่าไม่ได้ชาร์จไฟ วิธีนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้

2.จอดรถไว้ในที่ร่ม 

การจอดรถไว้ในที่ร่มเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่รถไฮบริด เพราะถ้าหากเราจอดรถไว้กลางแดดนานๆ อาจทำให้อุณหภูมิของแบตเตอรี่ไฮบริดสูงขึ้นจากการที่แพคแบตเตอรี่ดูดซับความร้อนเก็บไว้ในตัวเอง เมื่อแบตเริ่มทำงานความร้อนจากการใช้รถก็จะเกิดขึ้น และส่งผลให้แบตเตอรี่บวมยิ่งทวีความร้อนมากขึ้นไปจนเกินมาตรฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดเสื่อมไว

3.ไม่วางของขวางช่องระบายอากาศ

การวางสิ่งของปิดช่องระบายอากาศหลายๆ คนอาจกำลังมองข้าม แต่ที่จริงแล้วนั้น การวางของปิดช่องระบายอากาศส่งผลต่อระบบแบตเตอรี่ไฮบริดแบบไม่ได้ตั้งใจ  เพราะระบบไฮบริดนั้นจะใช้ความเย็นในห้องโดยสารระบายความร้อนให้แพคแบตเตอรี่ โดยผ่านทางช่องระบายอากาศ ถ้าเกิดนำสิ่งของไปวางขวางช่องระบายอากาศ ก็จะทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดมีอุณภูมิสูงจากระบบการถ่ายเทความร้อนทำงานได้ยากขึ้น ซึ่งส่งผลให้แพคแบตเตอรี่ไฮบริดนั้นเสื่อมได้

4. ไม่ฝืนเหยียบคันเร่งเกินไป

เครื่องยนต์ไฮบริดเป็นเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างนุ่มนวล เพราะฉนั้นหากเราฝืนเหยียบคันเร่งในขณะออกตัวแรกๆ จะส่งผลให้เกิดความร้อนภายในแพคแบตเตอรี่และอาจทำให้แบตเตอรี่เสี่อมเร็วกว่ากำหนด 

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับสาระน่ารู้เรื่องรถที่วันที่ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ เอามาฝากเพื่อนๆ สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะซื้อรถเครื่องบนต์ไฮบริดและสำหรับใครที่ใช้รถเครื่องยนต์ไฮบริดอยู่แล้ว บอกได้เลยว่าบทความนี้มีประโยชน์กับท่านอย่างแน่นอน

btn_line
btn_facebook

Read More
Print

ใบปัดน้ำฝนหมดอายุดูอย่างไง? พร้อมวิธีดูแลแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

หมดหน้าฝนไปแล้ว กำลังเข้าสู่ช่วงหน้าหนาว เชื่อว่ารถที่เพื่อนๆ ขับหลายๆ คนคงผ่านการใช้งานในฤดูฝนมาไม่น้อย และถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมาตรวจเช็คสภาพยางปัดน้ำฝนกันสักที วันนี้ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ มีวิธีดูแลที่ปัดน้ำฝนและวิธีเช็คยางที่ปัดน้ำฝนว่าเสื่อมสภาพหรือยังมาฝาก 

ใบปัดน้ำฝนหมดอายุดูอย่างไง? พร้อมวิธีดูแลแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ใบปัดน้ำฝนหมดอายุดูอย่างไร

1. ตรวจสภาพหน้ายาง

ขั้นตอนแรกเป็นวิธีเช็คยางที่ปัดน้ำฝนของท่านแบบง่ายๆ ด้วยการสัมผัสหน้ายาง เมื่อสัมผัสแล้วและลองสังเกตดูว่ายางที่ปัดน้ำฝนของท่านั้นลอกเป็นขุยหรือแข็งหรือไม่ หากสัมผัสแล้วยางแข็งบหรือลอกเป็นขุย แนะนำให้เปลี่ยนยางที่ปัดน้ำฝนทันที เพื่อการขับขี่รถที่ปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีขึ้น

2. ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ

วิธีต่อมาเป็นวิธีทำความสะอาดยางที่ปัดน้ำฝนแบบง่ายๆ เมื่อที่ปัดน้ำฝนถูกใช้งานมาเยอะ อาจทำให้เศษฝุ่น หรือคราบสิ่งสกปรกต่างๆ เลอะยนกระจก และสิ่งเหล่านั้นอาจทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ และวิธีง่ายๆ ในการทำความสะอาดที่ปัดน้ำฝนก็คือนำผ้าชุบน้ำสะอาดแล้วบิดให้หมาด จากนั้นเช็ดต่ามแนวขอบยางที่ปัดน้ำฝน เท่านี้ก็จะได้ที่ปัดน้ำฝนใหม่อีกครั้ง 

3. สังเกตรอยบนกระจก

อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ คือการสังเกตลอยที่ปัดน้ำฝนบนกระจกรถของท่าน หรือฟังเสียงการทำงานของที่ปัดน้ำฝนว่าฝืดหรือไม่ ถ้าหากเปิดใช้งานที่ปัดน้ำฝนแล้วมีเสียงฝืดขอแนะนำให้เปลี่ยนยางที่ปัดน้ำฝน เพราะาหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดการเสียดสีและตัวยางเสื่อมสภาพได้ และที่สำคัญอาจทำให้กระจกรถของท่านเป็นลอยขูดขีดได้อีกด้วย

4. อย่ายกที่ปัดน้ำฝนขึ้นเมื่อนำรถมาจอดตากแดด

ขณะจอดรถตากแดดไม่ควรยกที่ปัดน้ำฝนขึ้นเพราะจะทำให้ยางที่ปัดน้ำฝนโดนแดดโดยตรงและอาจทำให้ยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้ง่าย โดยปกติทั่วไปแล้วยางที่ปัดน้ำฝนมีระยะการใช้งาน 1-2 ปี แต่ถ้าหากยกที่ปัดน้ำฝนขึ้นในขณะที่จอดรถตากแดดอาจทำให้ยางที่ปัดน้ำฝนเกิดฉีดขาด

เป็นอย่างไรกันบางกับปัญหาที่ปัดน้ำฝน อาจเป็นปัญหาเล็กๆ ที่ทุกคนมองข้ามและจริงๆ แล้วถ้าปล่อยให้ยางที่ปัดน้ำเสื่อมสภาพมากๆ อาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถของท่านลดน้อยลง และเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย และหวังว่าวิธีการดูแลที่ปัดน้ำฝนที่ โตโยต้านครพิงค์ เชียงใหม่ เอามาฝากจะเป็นประโยชน์กับทุกคน

btn_line
btn_facebook